หน่วยที่ 7

หน่วยที่ 7 


หน่วยที่ 7

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน


1. แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

     

     หลักการค้นหาข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

      
ในการทำงานมักจะต้องมีการหาข้อมูลประกอบการทำงานนั้น ๆ บางครั้งข้อมูลอาจเป็นเพียงข้อมูลง่าย ๆ เช่น ราคาสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น แต่บางครั้งอาจเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ต้องมีการวิเคราะห์ เช่น แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วง 1-2 ปี ซึ่งต้องมีการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนั้นคำว่าข้อมูลความรู้ในที่นี้ หมายถึงตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน และข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลหรือจัดหมวดหมู่แล้วซึ่งเรียกว่า สารสนเทศ ตลอดจนถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีการวิเคราะห์ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าความรู้ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถค้นหาได้จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ต่อไปนี้เราจะใช้คำว่าข้อมูลในความหมายกว้างที่รวมทั้งข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ด้วย 

(1.) ต้องมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการ คือ
       
         (1.1) รู้ว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร

         (1.2) รู้ว่าแหล่งข้อมูลที่มีข้อมูลนั้น น่าจะเป็นหน่วยงานใด
  
         (1.3) รู้ว่าสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้น มีอะไรบ้าง

(2.) ต้องรู้จักวิธีเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ

(3.) ต้องรู้จักวิธีใช้โปรแกรมสืบค้นข้อมูล หรือ เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) 
ซึ่งจะมีรายละเอียดในหน่วยการเรียนรู้นี้

(4.) ต้องรู้จักใช้ดุลพินิจว่า

         (4.1) ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่ตรงกับความต้องการหรือไม่

         (4.2) ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือไม่ทั้งสองประเด็นนี้ จะมีคำแนะนำในหน่วย
การเรียนรู้นี้ 
                    
        การค้นหาข้อมูล

1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ และข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย

         จากหน่วยที่ 4 และหน่วยที่ 2 ได้รู้จักคำว่า เครือข่าย และได้ทราบว่าระบบโทรศัพท์เป็นเครือข่ายสื่อสารชนิดหนึ่ง คอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องที่นำมาต่อเชื่อมกันสามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้เป็นเครือข่ายอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์มีบทบาทในฐานะเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย เมื่อผนวกกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เราจึงสามารถค้นคว้าเกือบทุกอย่างที่ต้องการใช้ในการทำงานจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์

          เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นเครือข่ายประเภทต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรง

1.1 อินทราเน็ต (Intranet)

          เป็นเครือข่ายภายในสำหรับองค์กรหนึ่ง ๆ ข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร หรือข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์ขององค์กร คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับเครือข่ายอาจอยู่ภายในตึกเดียวกัน หรือกระจายกันอยู่ทั่วประเทศหรือทั่งโลกก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรนั้นมีขนาดเล็กหรือใหญ่ มีสาขามากหรือน้อยเพียงใด

1.2 เอกซ์ทราเน็ต (Extranet)

            เป็นเครือข่ายภายในสำหรับองค์กรเช่นเดียวกับอินทราเน็ตแต่เปิดให้สมาชิกภายนอกที่ได้รับอนุญาตต่อเชื่อมกับเครือข่ายได้ด้วย ตัวอย่างเครือข่ายแบบนี้ ได้แก่ เครือข่ายของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ที่มีร้านค้าวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เป็นสมาชิกของเครือข่ายด้วย เพื่อให้ร้านค้าเหล่านี้สามารถติดต่อสั่งซื้อสินค้าและรับบริการอื่น ๆ จากบริษัทโดยสื่อสารผ่านเครือข่ายนี้

1.3 อินเทอร์เน็ต

       อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีเจ้าของ ทุกคนที่อยากต่อเชื่อมกับเครือข่ายได้ เพียงแต่ปฏิบัติตามกติกาซึ่งมีคณะกรรมการอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศเป็นผู้กำหนด อินเทอร์เน็ตจำเป็นแหล่งข้อมูลเปิดแหล่งใหญ่ที่สุดของโลกที่มีข้อมูลสารพัด ทั้งที่มีประโยชน์ เช่น ข่าวสาร และสารความรู้ต่างๆ

1.4 รูปแบบของข้อมูลในเครือข่ายของคอมพิวเตอร์

        เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นโดยวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้น รูปแบบของการนำเสนอของข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงจึงอาจแตกต่างกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นสมาชิกในวงปิดอาจใช้รูปแบบและวิธีการของตัวเอง แต่ในกรณีเป็นเครือข่ายสาธารณะจะต้องใช้รูปแบบและวิธีการที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน รูปแบบการนำเสนอข้อมูลและวิธีการเปลี่ยนข้อมูลที่แพร่หลายมากจนกลายเป็นมาตรฐานไปแล้วคือรูปของ www ซึ่งมีอิทธิพลสูงมาก ทำให้เครือข่ายเกือบทุกประเภทเปลี่ยนมาใช้ตามเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากผู้ใช้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว


2. การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต


          ใช้วิธีการที่เรียกว่า เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ การค้นหาทำได้โดยการพิมพ์ คำสำคัญ คีย์เวิร์ด (Key Word) เข้าไปในช่องที่กำหนด แล้วคลิกที่ปุ่ม SEARCH หรือ GO โปรแกรมค้นหาจะเริ่มทำงาน การแสดงผลการค้นหาจะแสดงชื่อเว็บไซต์ URL และมักจะแสดงสาระสังเขปของเว็บไซต์นั้น ๆ ด้วย      เซิร์จเอ็นจิน บางตัวจะมีระบบค้นหาที่ละเอียดขึ้น เรียกว่า แอดวานซ์เชิร์จ (Advanced search หรือ Refined search) โดยให้ผู้ค้นหาสามารถระบุเงื่อนไขได้
         สำหรับโปรแกรมค้นหาภาษาไทยนั้นเริ่มมีใช่บางแล้ว แต่ประสิทธิภาพยังไม่สูงนักเนื่องจากความลำบากในการแยกคำในภาษาไทย  ซึ่งเขียนต่อกันโดยไมมีการเว้นวรรคคั่นเป็นคำๆ แบบภาษาอังกฤษ และอีกประการหนึ่ง เนื่องจากข้อมูลทางภาษาไทยบนเว็บไซต์ยังมีจำนวนน้อย เซิร์จเอ็นจิน ภาษาไทยมีอยู่ในเว็บไซต์ต่อไปนี้
        

              http://www.google.co.th/
          
              http://www.siamguru.com

              http://www.hotsearch.bdg.co.th   เป็นต้น



3. คำแนะนำในการใช้ Google


     1. การค้นหาแบบง่าย

      ให้พิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหาเพียง 2 - 3 คำ ลงไปแล้วกดแป้นEnter หรือคลิกที่ปุ่ม Go บนหน้าจอ Google ก็จะแสดงเว็บเพจที่ค้นพบ โปรแกรมค้นหาของ Google จะแสดงเฉพาะเว็บเพจที่มีคำทุกคำที่ท่านได้พิมพ์ลงไป ดังนั้นถ้ายิ่งใส่จำนวนคำลงไปมาก จำนวนเว็บเพจที่ค้นพบจะยิ่งลดจำนวนลงเพราะเป็นการค้นหาที่มีเงื่อนไขมากขึ้นนั้นเอง
    

     2. ข้อควรทราบเกี่ยวกับหลักการทำงานของ Google เพื่อการค้นหาชั้นสูง
          
               1.  อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กตัวใหญ่มีผลไม่ต่างกัน โดย Google จะถือว่าอักษรตัวเล็ก (Lower case) ทั้งหมด

              2.  คำว่า and มีอยู่แล้วโดยปริยาย เฉพาะ Google จะหาเฉพาะเว็บเพจ ที่มีคำครบทุกคำ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ and เพื่อเชื่อมระหว่างคำหลัก แต่ลำดับก่อนหลังของคำหลักจะให้ผลที่แตกต่างกัน

            3.  คำสามัญประเภท  a,  an,  the,  where,  how  จะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ รวมทั้งตัวอักขระโดดๆ เพราะคำพวกนี้ทำให้การค้นหาช้าลง และไม่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด ในกรณีที่ต้องการให้ใช้คำสามัญคำใดในการค้นหาด้วย จะต้องนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายบวก  ( + )  เช่น  “Standard  and  Poor”  ในกรณีหลังนี้  โปรแกรมค้นหาจะค้นหา ตามวลีที่อยู่ภายในเครื่องหมายคำพูด

              4.   การกำหนดเงื่อนไขไม่ใช่คำบางคำในการค้นหา โดยนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายลบ (–) เช่น ต้องการหาเว็บเพจที่เกี่ยวกับ e-Commerce Thailand – handicraft

              5.  การกำหนดให้ใช้คำที่มีความหมายคล้ายกัน (Synonym) ด้วย ให้นำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมาย tilde


             6. การเลือกคำหลักมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

            -  ลองใช้คำตรงๆ ก่อน เช่น ถ้าท่านต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ Picasso ก็ให้ใส่คำว่าPicasso ลงไป

            -   แทนที่จะใช้คำว่า painters

             -   ใช้คำที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ในเว็บไซต์ที่ต้องการหา เช่น Jumbo Jet ในเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยสาร เป็นต้น

             -  ทำให้คำหลักมีความเจาะจงมากที่สุดที่จะเป็นได้เช่น Antique lead   soldier จะดีกว่า old metal toys

           7.  รูปคำต่างกัน ที่มากจากรากศัพท์เดียวกันจะได้รับพิจารณาโดยอัตโนมัติ เช่น diet กับ dietary

           8.  การค้นหาตามหมวดสาขา ( Category )  ในกรณีที่คำหลักมีความหมายได้หลายอย่าง และท่านไม่แน่จ่าจะทำให้เจาะจงอย่างไร ให้เข้าไปที่ Directory  ของ  Google  ซึ่งอยู่ที่directory แต่ถ้าท่านต้องการข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์  ยี่ห้อ  Saturn  ท่านจะใช้คำหลักเดียวกันนี้ค้นภายใต้  Automotive category


             9.  Google มีหน้าเว็บพิเศษ สำหรับช่วยให้สามารถทำการค้นหาชั้นสูงได้ง่าย ขึ้นโดยผู้ใช้ไม่ต้องจดจำวิธีการพิมพ์เงื่อนไข แต่ใช้วิธีเลือกพิมพ์ข้อความลงไปในช่องที่เหมาะสมแทน ซึ่งสามารถค้นหาเป็นภาษาไทยได้



4. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)


           เป็นการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากแบบหนึ่ง  แต่มีข้อจำกัดตรงที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับต้องมีอีเมลแอดเดรส  (email  address)  หลักการเช่นเดียวกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ กล่าวคือผู้ส่งใช้โปรแกรมรับส่งอีเมล  เช่น ไมโครซอฟต์เอาต์ลุก (Microsoft Outlook)  หรือโปรแกรมเว็บเมล  (Web  mail)  เป็นต้น   โปรแกรมไมโครซอฟต์เอาต์ลุกปกติจะมากับชุดโปรแกรม  ไมโครซอฟต์ออฟฟิศ  ใช้สำหรับรับส่งอีเมลได้ทุกกรณี แต่ต้องมีการติดตั้ง (Set-up) ก่อนใช้จึงเป็นการไม่สะดวกนัก หากผู้ใช้ต้องการจะไปรับส่งอีเมลที่เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นนอกจากเครื่องที่ตนใช้เป็นประจำ   วิธีการรับส่งแบบเว็บเมล  เป็นวิธีที่สะดวกกว่า เพียงแต่ผู้ใช้เข้าสู่อินเตอร์เน็ต  แล้วเข้าสู่เว็บไซต์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย  (Host)  ของอีเมลแอดเดรสที่ตนใช้อยู่  และเลือกคลิกที่ปุ่ม  e-mail  หรือ  Mail  โปรแกรมเว็บเมลซึ่งติดตั้งอยู่ในเครื่องนั้นก็พร้อมที่จะทำงานทันที 

            การส่งอีเมลทำได้โดยผู้ใช้อีเมลพิมพ์ชื่อและอีเมลแอดเดรสของผู้รับพิมพ์ข้อความลงในกรอบที่กำหนดและหากมีการส่งเอกสารที่จะแนบไปด้วยก็ระบุชื่อไฟล์ของเอกสารที่ต้องการแนบ เสร็จแล้วคลิกปุ่มส่ง (Send) จดหมายฉบับนั้นก็จะไปรออยู่ที่  “ตู้รับจดหมาย”  ของคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่ผู้รับมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ให้บริการ เมื่อใดทีผู้รับเข้าสู่โปรแกรมรับส่งอีเมลจดหมายฉบับนั้นก็พร้อมที่จะถูกเปิดขึ้นมาให้อ่านได้ทันที หากผู้ใช้ไม่อยู่ที่สำนักงานจดหมายก็จะรออยู่ไม่ตกหล่นหรือหายไปไหน  ดังนั้น  วิธีนี้เป็นการสื่อสารที่ส่งไปถึงผู้รับทันทีแต่ผู้รับจะได้รับ เมื่อใดขึ้นอยู่ที่ว่ารับจะเปิดคอมพิวเตอร์เข้าไปรับแอดเมื่อใด


             ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์นี้  สามารถใช้ส่งจดหมายฉบับเดียวกันถึงผู้รับหลายๆ คนก็ได้และโปรแกรมรับส่งส่วนมากจะอนุญาตให้ผู้ใช้จักทำ  “รายชื่อกลุ่มผู้รับ”  (Group mailing list)เช่น   อาจตั้ง  ชื่อกลุ่มว่า  Members  in  Bangkok  ประกอบด้วยผู้รับ 35 ราย Members in  the North  อีก  25  ราย   Members  in  the  South  อีก  20  ราย   เป็นต้น   เมื่อจัดทำรายชื่อผู้รับ (อีเมลแอดเดรส) ในแต่กลุ่มเรียบร้อยแล้ว  จะทำการส่งถึงกลุ่มใด  ก็เพียงแต่ระบุชื่อชื่อกลุ่มเท่านั้น  ไม่ต้องป้อนอีเมลแอดเดรสของผู้รับแต่ละราย   ซึ่งทำให้สะดวกและประหยัดเวลาได้มาก


5. กระดาษข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Web forum)


      เป็นการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่คล้ายกับการเขียนข้อความไว้บนกระดาน เพื่อให้กลุ่มคนที่ต้องการจะสื่อสารกันมาอ่านและเขียนโต้ตอบกันได้  แต่กระดานในที่นี้เป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของ ผู้ใช้แต่ละราย ปัจจุบันนี้  เว็บไซต์บางแห่งจัดตั้งเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ แยกเป็นแต่ละกระดานสำหรับแต่ละเรื่อง  เช่น  กรณีเว็บไซต์ www.pantip.com  เป็นต้น  นอกจากนั้น เว็บไซต์บางแห่งอนุญาตให้มีการจัดตั้ง “ชุมชน” สำหรับ กลุ่มคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกันใช้สื่อสารกันด้วยจดหมาย  เอกสาร  รูปภาพ  ฯลฯ

6. ห้องสมุด แหล่งข้อมูลความรู้


           นับตั้งแต่มีการพิมพ์หนังสือเกิดขึ้นในศตวรรษที่  18  อารยธรรมของมนุษย์  มีการบันทึกเพื่อถ่ายทอดแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างเป็นระบบ การแต่งหนังสือและการพิมพ์เผยแพร่  เป็นจำนวนครั้งละมากๆ ทำให้การเรียนรู้สามารถขยายขอบเขตออกไปอย่างรวดเร็ว   ยิ่งกว่านั้นหนังสือยังเป็นสื่อที่สามารถอนุรักษ์ความรู้ไว้ได้เป็นเวลายาวนาน  มากกว่าความยืนยาวของชีวิตมนุษย์หลายสิบเท่า  ห้องสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาหนังสือ  จึงมีการจัดการที่เป็นระบบ ทำให้ค้นหาหนังสือที่ต้องการได้ง่าย  จึงเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก

           วิธีการที่ใช้กันในห้องสมุดต่างๆ  ทั่วโลกนั้น  เรียกว่าการจัดทำบัตรรายการ  และการกำหนดหมู่   เลขรหัสสำหรับหนังสือแต่ละเล่มหรือเอกสารแต่ละชิ้น

          การกำหนดหมู่เลขรหัสที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมีสองระบบ คือ ระบบแรก เรียกว่า ระบบดิวอี้  (Dewy Decimal System)  นิยมใช้กันตามสถาบันการศึกษา  ส่วนระบบที่สองเป็นระบบใหม่กว่า  เรียกว่า ระบบแอลซี  (Library of congress System)  เป็นระบบที่คิดขึ้นมาใช้สำหรับห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐ  ซึ่งเป็นห้องสมุดที่มีจำนวนหนังสือ  และเอกสารมากที่สุดในโลก  เหตุที่ต้องคิดหาระบบใหม่ขึ้นมาใช้นั้น ว่ากันว่าเพราะระบบดิวอี้ ดั้งเดิมมีความละเอียดไม่พอ   ไม่สามารถแยกประเภทของหนังสือบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดีพอ  อย่างไรก็ตาม  ระบบดิวอี้   ได้มีการพัฒนาขึ้นในเวลาต่อมา   จนในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมไม่แพ้ระบบแอลซี

             บัตรรายการสำหรับหนังสือแต่ละเล่มหรือเอกสารแต่ละชิ้นนั้น  จะระบุหมู่เลขรหัส   ชื่อหัวเรื่อง (ชื่อหนังสือหรือเอกสาร) ชื่อผู้แต่ง ชื่อสำนักพิมพ์ ปี ค.ศ. หรือ .ศ. ที่พิมพ์   และชื่อเมืองที่พิมพ์ และมักจะมีสาระสังเขปเป็นคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเนื้อหาที่บรรจุด้วย นอกจากนี้จะมีข้อความหรือรหัสที่ระบุว่าหนังสือหรือเอกสารนั้นๆ ถูกจัดเก็บอยู่ที่บริเวณใดในห้องสมุดนั้นบัตรรายการต่างๆ จะถูกนำมาเรียงลำดับอักษร ตามชื่อหัวเรื่องชุดหนึ่ง แยกไว้ในตู้บัตรรายการ คนละตู้กัน   ส่วนหนังสือและเอกสารต่างๆ   จะถูกจัดเก็บบนชั้นหนังสือ โดยเรียงลำดับตามหมู่เลขรหัส


ตารางที่  1 หลักการกำหนดหมู่เลขรหัสในระบบ Dewy Decimal System


  100  –  199   ปรัชญาและสาขาที่เกี่ยวข้อง   (Philosophy  and  Related  Disciplines)
   200  –  299   ศาสนา  (Religion)
   300  –  399   สังคมศาสตร์  (Social  Sciences)
   400  –  499   ภาษา (Language)
   500  –  599   วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Sciences)
   600  –  699   เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์  (Technology and Applied Sciences)
   700  –  799   ศิลปะ  (The  Arts)
   800  –  899  วรรณคดี  (Literature)
   900 – 999   ภูมิศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง  (Geography,  History,  and Related Disciplines)



7. Digital Library ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

             

Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)  หมายถึง  การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์  แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์  ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้องสมุดแบบดั้งเดิม หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม  ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ  ประการแรก  สิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก  หากจะนำมาดิจิไทซ์  (digitize) หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล  ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง  ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน  ยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์  แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้น สามารถอ่านได้ครั้งละนานๆ มากขึ้น ประการที่สาม ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และวิธีการจัดการกับปัญหานี้ ในกรณีที่ต้องการแปลงสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่เป็นสารสนเทศแบบดิจิทัลเพื่อนำออกเผยแพร่  ยังไม่มีกฎหมายหรือหลักการที่เป็นสากลว่าด้วยเรื่องนี้   หากยังต้องอาศัยการตกลงกันเองระหว่างคู่กรณีเป็นรายๆ ไป ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง  อย่างไรก็ตามการแปลงสิ่งพิมพ์เป็นสารสนเทศดิจิทัลนั้น  เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ  เพื่อการอนุรักษ์สิ่งพิมพ์เก่าๆไว้เอกสารที่เป็นกระดาษนั้น  หากจัดเก็บถูกวิธีอาจสามารถอยู่ได้นับพันปี  เช่น  เอกสารที่ทำด้วยกระดาษปาปิรัส สมัยอียิปต์หรือบาลิโลเนียยังมีหลงเหลือให้เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ  ของโลก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  หนังสือหรือเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีอายุใช้งานเพียง  100 -  200 ปีเป็นอย่างมาก  ตัวอย่างเช่น  หนังสือเรื่อง  The Pilgrim Kamanita  ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เสถียรโกศ  และนาคประทีป  นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทย  ชื่อ กามนิต  วาสิฏฐี นั้น ขณะนี้เหลืออยู่ที่  The British Museum ที่กรุงลอนดอนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น  และอยู่ในสภาพถูกเก็บตาย  เพราะกระดาษกรอบหมดแล้ว นำมาเปิดอ่านไม่ได้ เอกสารทำนองนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และต้องหาวิธีอนุรักษ์ไว้ให้ได้เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า  และบางอย่างเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ วิธีอนุรักษ์วิธีหนึ่ง คือ การนำมากราดตรวจ หรือ  ถ่ายภาพหน้าต่อหน้า แล้วบันทึกใส่ซีดีรอม  (CD-ROM) ไว้  อย่างไรก็ตามซีดีรอมเองก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวมากมายนัก  เชื่อกันว่าสามารถจะเก็บได้นาน 30 – 50 ปี เท่านั้น  แต่ถ้ามีการทำสำเนาก่อนที่ซีดีรอมแผ่นนั้นจะหมดอายุ ก็สามารถเก็บไปได้ตลอด  เพราะการทำสำเนาข้อมูลดิจิทัลนั้นจะได้สำเนาที่มีคุณภาพเท่าต้นฉบับดิจิทัล ไม่มีการเสื่อมลงทุกครั้งที่ทำสำเนาเหมือนระบบอนาลอค  ดังนั้น ห้องสมุดดิจิทัลจะสามารถให้บริการเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ   ที่มีอายุมากๆได้ 

         รูปแบบของเอกสารที่จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น  ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา  ซึ่งจะยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้  แม้ว่าจะเริ่มมีการวางมาตรฐานกันบ้างแล้วก็ตาม รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานกันมากที่สุดขณะนี้  คือ  อีบุ๊ค  (E-book)  หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  กับ  อีเจอร์นัล  (E-journal) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์  และ  อีแมกกาซีน (E-magazine)  หรือนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์  ความได้เปรียบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เหนือ  สื่อสิ่งพิมพ์หลายประการ  ประการแรก  ต้นทุนในการจัดทำต่ำกว่า  ประการที่สอง  สามารถใช้สื่อประสม  (Multimedia)  มาประกอบได้  คือ  มีได้ทั้งภาพนิ่ง   ภาพเคลื่อนไหว   (ทั้งที่เป็นรูปวาด  รูปถ่าย  และวีดิทัศน์)  และเสียงด้วย ประการที่สาม  สามารถมี  การเชื่อมโยงข้อความหลายมิติ  (Hypertext)  เพื่ออธิบายขยายความ  หรือ  เพื่อขยายขนาดของภาพประกอบให้ใหญ่ขึ้นหรือชัดเจนขึ้น  ประการที่สี่  สามารถค้นหารายละเอียดคำสำคัญต่างๆโดยใช้วิธีการของ   โปรแกรมค้นหา  ( Search engine)  ซึ่งรวดเร็วทันใจ  และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบดัชนี  (Index)  ของหนังสือ   ส่วนข้อเสียเปรียบที่สำคัญ  คือ  ต้องใช้คอมพิวเตอร์และใช้ไฟฟ้าในการเปิดอ่าน 

          ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ต่างกับห้องธรรมดาตรงที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่  เพียงแต่มี  คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Sever)  สำหรับเก็บข้อมูล  มีเครือข่าย (Network) ต่อเชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Clients)  ที่ให้บริการ ซึ่งอาจกระจายอยู่ตราที่ต่างๆ ก็ได้ เครือข่ายนั้นจะเป็นเครือข่ายส่วนตัว  Private  Network  หรือ  Intranet) ที่ใช้ภายในองค์กรก็ได้  หรือจะเป็นเครือข่ายสาธารณะ   เช่น   อินเทอร์เน็ต 

 

8. แหล่งข้อมูลของประเทศไทยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์


            เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่าย  ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมาก  เครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารบางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่ เช่น  ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทผลิตรถยนต์  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆ  จากบริษัท  และอาจมีข้อมูลประเภทความรู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของยานยนต์  เทคโนโลยีใหม่ๆ  เกี่ยวกับยานยนต์  มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน  วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ  เป็นต้น  หากเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทของบริษัทท่องเที่ยว  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ  ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง  ข้อมูลเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าประเทศต่างๆ  เพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา  ของประเทศนั้นๆ  เป็นต้น  ปัจจุบันนี้  ข้อมูลต่างๆ  เหล่านี้อยู่ในรูปแบบของเอกสาร  ที่มีการเชื่องโยงกันภายใต้มาตรฐาน   World Wide Web (หรือ  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  http  Hypertext  Transfer  Protocol)  เราเรียกแหล่งข้อมูล  แต่ละแห่งเหล่านี้  ว่า  เป็น เว็บไซต์  (Web Site)  ซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลในระบบ  World Wide Web  นั่นเอง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น