หน่วยที่ 8

หน่วยที่ 8


หน่วยที่ 8 

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอผลงาน


1. หลักการนำเสนอผลงาน

        ในหน่วยการเรียนรู้ก่อนๆ  ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานรูปแบบต่าง ๆ   มาบ้างแล้ว การสร้างผลงานที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้   และทักษะตลอดจนความคิด  สร้างสรรค์ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การสะสมประสบการณ์จากการที่ได้พบเห็นตัวอย่าง  และเรียนรู้จากตัวอย่าง

            ในหน่วยการเรียนรู้นี้  จะกล่าวถึงการนำเสนอผลงานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่หาได้ทั่วไป การนำเสนอผลงานมีวัตถุประสงค์  คือ

             1.  ให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ
             2.  ให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ

          การนำเสนอผลงานโดยใช้สื่อโสตทัศนศึกษานั้น  มีเหตุผลเบื้องลึก  คือ  หลักจิตวิทยาการเรียนรู้  ซึ่งได้มีการค้นพบจากนักวิจัยว่า  การรับรู้ข้อมูลโดยผ่านทางประสาทสัมผัสสองอย่าง  คือ ทั้งตาและหูพร้อมกันนั้น ทำให้เกิดการรับรู้ที่ดีกว่า รวมทั้งเกิดความสามารถ ในการจดจำได้มากกว่าการรับรู้โดยผ่านตาหรือหู  อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว  จึงได้มีการพัฒนาสื่อ    โสตทัศนศึกษารูปแบบต่าง ๆ   ขึ้นมาใช้งาน

หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญ  คือ

 1.1 การดึงดูดความสนใจ
  
          โดยการออกแบบให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้น  ชวนมอง  และมีความสบายตาสบายใจเมื่อมอง ดังนั้นการเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ  เช่น  สีพื้น  แบบสี  และ ขนาดของตัวอักษร  รูปประกอบ  ฯลฯ   ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้

1.2 ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา

            ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน  ส่วนที่เป็นภาพประกอบ ต้องมีส่วนสัมผัสอย่างสร้างสรรค์กับข้อความ  ที่ต้องการสื่อความหมาย   การใช้ภาพประกอบมีประโยชน์มากดังคำพังเพยภาษาอังกฤษที่ว่า  “A picture  is  worth  a words”  หรือ  “ ภาพภาพหนึ่งที่มีค่าเทียบเท่าคำพูดหนึ่งพันคำ”   แต่ประโยคนี้คงไม่เป็นความจริงหากภาพนั้นไม่มีความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับความหมายที่ต้องการสื่อ  ดังนั้น  ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ  จึงควรตอบคำถามให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพื่อสื่อความหมายอะไร  และภาพที่จะเลือกมานั้นสามารถทำหน้าที่สื่อความหมายเช่นนั้นจริงหรือไม่

1.3 ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

            การสร้างจุดเน้นต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย  เช่น  กลุ่มหมายเป็นเด็กการใช้สีสด และภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม  แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่  และเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องวิชาการ หรือ ธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและการใช้รูปการ์ตูน  อาจจะทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือเพราะขาดภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจังไป

2. เครื่องมือที่ใช้ในการนำเนอผลงาน


             ก่อนยุคคอมพิวเตอร์  การนำเสนอผลงานในที่ประชุมสัมมนา  มักจะใช้เครื่องมือสองอย่างคือ  เครื่องฉายสไลด์  (Slide projector)  และเครื่องฉายแผ่นใส  (Overheard projector)  การใช้งานเครื่องฉายสไลด์ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องใช้กล้องถ่ายรูปใส่ฟิล์มพิเศษ  ที่ล้างออกมาแล้วเป็นภาพสำหรับฉายโดยเฉพาะ และต้องนำฟิล์มนั้นมาตัดใส่กรอบพิเศษ  จึงจะนำมาเข้าเครื่องฉายได้ ข้อดีของการฉายสไลด์ คือ ได้ภาพที่สวยงามและชัดเจนแต่  ข้อเสีย  คือ ต้องฉายในห้องที่มืดมาก เครื่องฉายแผ่นใสเป็นเครื่องที่ใช้งานทั่วไปได้มากกว่า แผ่นใสที่ใช้ตามปกติมีขนาดประมาณ นิ้วคูณ 10 นิ้ว มีสองแบบ คือ  แบบใช้ปากกา(พิเศษ)เขียน  กับ แบบที่ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นใสแบบใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารใช้เขียนได้แต่แบบเขียนใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารไม่ได้เพราะแผ่นใสจะละลายติดเครื่องถ่ายเอกสารทำให้เครื่องเสียเวลาซื้อแผ่นใสจึงต้องใช้ความระมัดระวังดูให้ดีว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการหรือไม่  การฉายแผ่นใสสามารถทำได้ในห้องที่ไม่ต้องมืดมาก  

เมื่อมาถึงยุคคอมพิวเตอร์  เครื่องมือที่ใช้นำเสนอผลงานก็เปลี่ยนไป  เครื่องมือหลัก    คือ
  เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Data projector) เครื่องฉายภาพคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ  มีขนาดใหญ่ต้องติดตั้งประจำที่  ข้างในมีหลอดภาพ  3 หลอด ทำให้เกิดภาพแต่ละสีฉายผ่านเลนส์ออกมาปรากฏภาพบนหน้าจอ ความคมชัดยังไม่ดีนัก  และความสว่างของภาพก็ไม่มากพอ  ทำให้ต้องฉายในห้องที่ค่อนข้างมืด  เครื่องฉายรุ่นใหม่  ได้แก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ได้หมดแล้ว  โดยใช้แผ่นผลึกเหลว  (Liquid Crystal Display  หรือ  LCD)  เป็นตัวสร้างภาพ  ทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลงมาจนสามารถพกพาได้  อีกทั้งความสว่างและความคมชัดก็ดีขึ้นมากจนสามารถฉายในห้องที่มีแสงสว่างปานกลางได้









  ส่วนที่จะขาดเสียมิได้ในการนำเสนอผลงาน  คือ คำบรรยายหรือบทพากย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียงนั่นเอง ข้อพิจารณา ในเรื่องนี้มี  ดังต่อไปนี้

            1. การบรรยายสด เหมาะสำหรับประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วมเพราะผู้บรรยายในกรณีนี้ เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจากผู้ชมสามารถติดตามทำความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่าส่วนไหนจะต้องอธิบายขยายความมากน้อยเพียงใด


            2.  การพากย์  เหมาะสำหรับเนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดได้   โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ชม ข้อดี  คือ  สามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟังน่าฟัง สามารถเลือกใช้ดนตรี  หรือ  เสียงประกอบ (Sound  effect)  เพื่อสร้างบรรยากาศ  แต่ข้อเสีย คือ ไม่มีความยืดหยุ่น  ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ชมในขณะนั้น  (เช่น  ดนตรี แบ็กราวด์ช้า ๆ  เย็นๆ  อาจเหมาะกับท้องเรื่อง   แต่บังเอิญต้องนำเสนอช่วงหลังอาหารกลางวัน  ซึ่งอาจทำให้ผู้ชม  รู้สึกง่วงนอน)


3. รูปแบบการนำเสนอผลงาน


               ในหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงรูปแบบการนำเสนอผลงานโดยใช้คอมพิวเตอร์  รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี  2 รูปแบบ   คือ

 การนำเสนอแบบ Slide Presentation

      1.1 โดยใช้โปรแกรม Power Point

              เป็นโปรแกรมนำเสนอผลผลงานในชุด  Microsoft  Office   เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่ายมากมี     แม่แบบ  (Template)  ให้เลือกใช้หลายแบบ  องค์ประกอบหลักของแต่ละหน้าของการนำเสนอคือ  หัวข้อ  (Little)  กับส่วนเนื้อหาหลัก  (Body text)  เนื้อหาหลักมักจะถูกนำเสนอในแบบของ Bull Point คือ  การใช้เครื่องหมายพิเศษนำหน้าข้อความที่สั้นกระทัดรัด   แต่ได้ใจความมีการจัดลำดับความสำคัญของข้อความโดยการย่อหน้า




               ภาพแสดง  โปรแกรมนำเสนอผลงาน  (power Point)

1.2 โดยใช้โปรแกรม ProShow Gold

            โปรแกรม  Pros how  Gold คือ  โปรแกรมสำหรับเรียงลำดับภาพ  เพื่อนำเสนอแบบ มัลติมีเดีย  ที่มีความสามารถสร้างผลงานได้ในระดับมืออาชีพ  ด้วยเทคนิคพิเศษมากมาย  ใช้งานง่าย เหมาะสมต่อการนำเสนอสื่อ  การเรียนการสอน  การแนะนำอัตชีวประวัติ  สามารถเขียนชิ้นงานออกมาในรูปแบบของวีซีดีได้อย่างรวดเร็ว  เป็นโปรแกรมที่ช่วยสร้างแผ่นวีซีดี จากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทำงานได้รวดเร็ว โดยสามารถทำการใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย  และสามารถแปลงไฟล์เป็นไฟล์ต่าง ๆ  ได้  เช่น  VCD , DVD  หรือ  EXE  ฯลฯ  ภาพที่ได้จัดอยู่ในคุณภาพดี  ซึ่งโปรแกรมอื่นจะใช้เวลาในการทำงานนานพอสมควร

การเตรียมข้อมูลของภาพและเพลงต่าง ๆ ก่อนที่จะเริ่มติดตั้งและใช้งาน

1. Pros how Gold

           เป็นซอฟต์แวร์สําหรับสร้างแผ่น  VCD จากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทํางานได้รวดเร็ว หลายคนคงจะมีไฟล์รูปภาพต่าง ๆ เก็บสะสมไว้และเมื่อต้องการที่จะนําเอาภาพเหล่านั้นมา แปลงให้อยู่ในรูปแบบของแผ่น VCD ที่สามารถนําเอาไปใช้เป็นกับเครื่องเล่น VCD ทั่วไปได้  ProShow  Gold  เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถนําเอาภาพมาทําเป็นแผ่น VCD โดยที่สามารถทําการแปลงได้อย่างรวดเร็วและยังใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย

               โดยทั่วไปแล้ว  ซอฟต์แวร์สําหรับการทําแผ่น  VCD  จากรูปภาพจะมีหลายตัว     แต่ที่แนะนํา ProShow เนื่องจากเหตุผลหลักคือการใช้เวลาทําการแปลงที่รวดเร็วมาก ปกติถ้าเป็นซอฟต์แวร์ตัวอื่นจะใน เวลาหลายชั่วโมง  แต่ตัว  ProShow  นี้ใช้เวลาแปลง  ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้วภาพที่ได้ก็จัดอยู่ใน  คุณภาพดี  โดยข้อเสียที่พบ  ในตัวโปรแกรมนี้  คือ  ค่อนข้างจะมีความยุ่งยาก   ในขั้นตอนของการใช้งานบ้างแต่ก็ไม่มากมาย

1.3   โปรแกรม Flip Album

          โปรแกรม Flip Album 6 Pro เป็นโปรแกรมลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูป โดยโปรแกรมชุด  FilpAlbum  เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง  e-Book  ซึ่ง  อีบุ๊ค ”  (eBook, EBook, e-Book) เป็นคำภาษาต่างประเทศ  ย่อมาจากคำว่า  electronic book  หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจัดทำขึ้นด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และ สามารถอ่านได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งในระบบออฟไลน์   และออนไลน์เหมือนเปิดอ่านจากหนังสือโดยตรงที่เป็นกระดาษ แต่ไม่มีการเข้าเล่ม เหมือนหนังสือที่เป็นกระดาษ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  มีความสามารถมากมายคือ มีการเชื่อมโยง (Link) กับ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มอื่นๆ ได้ เพราะอยู่บนเครือข่าย www และมีบราวเซอร์ที่ทำหน้าที่ดึงข้อมูลมาแสดงให้ตามที่ต้องการเหมือนการเล่นอินเทอร์เน็ตทั่วไป เพียงแต่เป็นระบบหนังสือ บนเครือข่ายเท่านั้น  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแสดงข้อความ รูปภาพ  เสียง  ภาพเคลื่อนไหว และ  แบบทดสอบ  และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้  อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป   เราสามารถอ่านหนังสือ  ค้นหาข้อมูล  และสอบถามข้อมูลต่างๆ  ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก  ได้จากอินเทอร์เน็ต จากคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นแฟ้มข้อมูล  ประเภทข้อความ (Text File)  ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักของภาษา  HTML   (Hyper  Text  Markup  Language)   ที่ใช้เขียนโปรแกรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

 ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันมี ประเภท  คือ

            ซอฟต์แวร์สำหรับการเขียนข้อมูลให้ออกมาเป็น  E - Book และ ซอฟต์แวร์สำหรับการอ่านมีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่

            1.   โปรแกรมชุด FilpAlbum

             2.  โปรแกรม DeskTop Author

             3.  โปรแกรม Flip Flash Album

           ชุดโปรแกรมทั้ง  3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ ประกอบด้วย
  
             1.1   โปรแกรมชุด   FlipAlbum   ตัวอ่านคือ   FilpViewer

             1.2   โปรแกรมชุด DeskTop   Author ตัวอ่านคือ DNL Reader

             1.3   โปรแกรมชุด Flip Flash Album ตัวอ่านคือ Flash Player


 3.2. รูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) Computer Assisted Instruction

            CAI คือ  โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  ที่มีหน้าที่เป็นสื่อการเรียนการสอนเหมือนแผ่นใส  (Transparent)  สไลด์  (Slide)  หรือวีดีทัศน์  (Video)   ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน  เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายในเวลาอันจำกัด  และตรงตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนนั้น ๆ แต่เนื่องจากโปรแกรมเรียนคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ได้ครบทุกสื่อในเวลาเดียวและควบคุมการนำเสนอได้ด้วยตัวเอง  เรียกว่า “ สื่ออเนกทัศน์”  หรือ  “ มัลติมีเดีย”  (Multimedia)  ทำให้ประหยัดและมีประสิทธิภาพสรุปได้ว่า  CAI  คือ

           -  เป็นสื่อการเรียนการสอน ช่วยผู้สอนทำการสอน

           -  เนื้อหาในโปรแกรมจะเป็นหน่วย ๆ ตามบทเรียนนั้น ๆ

           -  ผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนเนื้อหา ศึกษาด้วยตนเอง

           -  ผู้สอนผู้สอน หรือผู้มีประสบการณ์ในเนื้อหาวิชานั้น ๆ จะทำได้ดีที่สุด

 การจัดทำ CAI ที่ดีนั้น ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ  คือ

           1.  นักวิชาการ (Academic Expert)

           2.  นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Programmer)

           3.  นักสร้างสรรค์ (Producer)

           4.  นักศิลปะ (Artist)

            ฉะนั้น  CAI ก็คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้สอนสอน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนผู้สอนได้ทั้งหมด โดยที่ผู้สอนไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้สอนยังจำเป็นที่ต้องคอยแนะนำและเตรียมเนื้อหา เพี่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในเนื้อหานั้น ๆ ในเวลาจำกัด จึงกล่าวได้ว่า “ผู้สอนผู้สอนจะเป็นผู้ที่ทำ CAI ได้ดีที่สุด

 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน Computer Assisted Instruction หมายถึง

          การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อาศัยคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้โดยจัดเนื้อหาสาระหรือประสบการณ์สำหรับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อาจจัดเป็นลักษณะบทเรียนหน่วยการเรียนหรือโปรแกรมการเรียน ฯลฯ

 ประโยชน์ของการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการเรียนรู้

 1. ใช้เพื่อจัดการในชั้นเรียน (Classroom Management) เช่น

        - เก็บข้อมูลสถิติรวมทั้งระเบียนสะสมของผู้เรียนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเป็นรายบุคคล

        - ใช้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง

        - เตรียมงานด้านการสอน เช่น ใบความรู้ ใบงาน ข้อทดสอบ ฯลฯ

        - สร้างเครือข่ายฐานข้อมูลผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานผู้เรียน (Electronic portfolio)ฯลฯ

 2. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน (Instruction) เช่น

        การนำเสนอผลงาน (Presentation) ของผู้สอน

           -  ในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าความสนใจ เช่น เสียงเพลง ภาพเคลื่อนไหวในวีดีโอ กราฟสถิติ รูปภาพ/ภาพถ่าย ฯลฯ
  
         -  ในลักษณะการจำลองสถานการณ์หรือการจำลองแบบ (Simulation) ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย เช่น ผลกระทบในการลดลงของความหลากหลายทาง ชีวภาพ การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การระเบิดของภูเขาไฟ แนวโน้มการศึกษาต่อของผู้เรียน ฯลฯ

    การนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)

            โดยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อหรือช่องทางในการนำเสนอเนื้อหาซึ่งอาจเป็นกิจกรรมในรูปแบบต่างๆโดยมุ่งให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาด้วยตัวเอง ตามความพร้อมและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก การพิจารณาว่าสื่อการสอนที่สร้างมาจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือไม่นั้นมีการพิจารณา  ดังนี้

            1.  ต้องมีเนื้อหาสาระ มีการเรียบเรียงเป็นอย่างดี

            2.  ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล 

            3.  สามารถตอบโต้หรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้เรียน

            4.  สามารถให้ป้อนกลับได้ทันที

            ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มีอยู่มากมายหลายรูปแบบ เช่น โปรแกรมการนำเสนอเนื้อหาใหม่ โปรแกรมฝึกหัด โปรแกรมจำลองสถานการณ์ เกม และโปรแกรมการฝึกทักษะการแก่ปัญหา  เกม  การสาธิต  การทดสอบ  เป็นต้น

 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) สามารถสรุปได้เป็นแผนภูมิได้ดังนี้





ภาพแสดงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)


การสร้างและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

            แฮนนิฟิลและเพค  (Hannafin and Peck) อ้างถึงใน บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543: 71 - 74) ได้ให้ข้อคำนึงในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและลักษณะของการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดีไว้ 12 ประการ ดังนี้

             1. สร้างขึ้นตามจุดประสงของการสอนเพื่อที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนได้จากบทเรียนนั้น ได้มีความรู้และทักษะตลอดจนทัศนคติของผู้สอนได้ตั้งไว้ให้ผู้เรียนสามารถประเมินผลด้วยตนเองว่าบรรลุจุดประสงค์ในแต่ละข้อหรือไม่

             2. บทเรียนที่ดีควรเหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน การสร้างบทเรียนจะต้องคำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานอยู่ในระดับใด ไม่ควรที่จะยากหรือง่ายจนเกินไป

             3. บทเรียนที่ดีควรปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้มากที่สุดการเรียนจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรมีประสิทธิภาพมากกว่าเรียนจากหนังสือเพราะสามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้  2  ทาง

             4. บทเรียนที่ดีควรจะมีลักษณะเป็นการสอนรายบุคคล ผู้เรียนสามารถที่จะเลือกเรียนหัวข้อที่ตนเองมีความสนใจและต้องการที่จะเรียนและสามารถที่จะข้ามบทเรียนที่ตนเองเข้าใจแล้วได้ แต่ถ้าบทเรียนที่ตนเองยังไม่เข้าใจก็สามารถเรียนซ้อมเสริมจากข้อแนะนำของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้

            5. บทเรียนที่ดีควรคำนึงถึงความสนใจของผู้เรียน ควรมีลักษณะเร้าความสนใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนอยู่เสมอ

            6. บทเรียนที่ดีควรสร้างความรู้สึกในทางบวกของผู้เรียนควรทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน เกิดกำลังใจและควรที่จะหลีกเลี่ยงการลงโทษ

            7. ควรจัดทำบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยังผู้เรียนให้มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงย้อนกลับในทางบวก ซึ่งจะสามารถทำให้ผู้เรียนชอบและไม่เบื่อหน่าย


            8. บทเรียนที่ดีควรเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอน บทเรียนควรปรับเปลี่ยนให้ง่ายต่อกลุ่มผู้เรียน เหมาะกับการจัดตารางเวลาเรียน สถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์มีความเหมาะสมควรคำนึงถึงการใส่เสียง ระดับเสียงหรือดนตรีประกอบควรให้เป็นที่ดึงดูดใจผู้เรียนด้วย

             9.  บทเรียนที่ดีควรมีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนอย่างเหมาะสม ควรหลีกเลี่ยงคำถามที่ง่ายตรงเกินไป หรือไร้ความหมาย การเฉลยคำตอบควรให้แจ่มแจ้งไม่คลุมเครือและไม่ควรเกิดความสับสน

           10.  บทเรียนควรใช้กับคอมพิวเตอร์ที่จะเป็นแหล่งทรัพยากรทางการเรียน  อย่างชาญฉลาด   ไม่ควรเสนอบทเรียนในรูปอักษรอย่างเดียว  หรือเรื่องราวที่พิมพ์เป็นอักษรโดยตลอดควรใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่  เช่น  การเสนอด้วยภาพ  ภาพเคลื่อนไหว ผสมตัวอักษรหรือให้มีเสียงหรือแสงเน้นที่สำคัญ  หรือวลีต่างๆ  เพื่อขยายความคิดของผู้เรียนให้กว้างไกลมากขึ้น  ผู้ที่สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรตระหนักในสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ตลอด  ข้อจำกัดต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียบางสิ่งบางอย่างของสมรรถนะของคอมพิวเตอร์ไป  เช่น  ภาพเคลื่อนไหวปรากฏช้าเกินไป  การแบ่งส่วนย่อยๆ  ของโปรแกรมมีขนาดใหญ่เกินไปทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้

            11. บทเรียนที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบการสอนคล้ายๆ กับการผลิตสื่อชนิดอื่นๆ การออกแบบทเรียนที่ดี    จะสามารถเร้าความสนใจของผู้เรียนได้มาก   การออกแบบ บทเรียนย่อมประกอบด้วยการ ตั้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน การจัดลำดับขั้นต้อนของการสอนการสำรวจทักษะที่จำเป็นต่อผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ จึงควรจัดลำดับขั้นตอนการสอนให้ดี   มีการวัดผลและการประเมินผลย้อนกลับให้ผู้เรียนได้ทราบ   มีแบบฝึกหัดพอเพียงและให้มีการประเมินผลของขั้นสุดท้าย เป็นต้น

           12. บทเรียนที่ดีควรมีการประเมินผลทุกแง่ทุกมุม  เช่น  การประเมินคุณภาพของผู้เรียนประสิทธิภาพของผู้เรียน  ความสวยงาม  ความตรงประเด็นและความตรงทัศนคติของผู้เรียน เป็นต้น

 สรุปสาระสำคัญ


          การนำเสนองานมีวัตถุประสงค์  คือ  เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ  และให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ  ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ  การใช้สื่อ  โสตทัศนศึกษาช่วยให้เกิดการรับรู้ช่วยให้เกิดการรับรู้ที่ดีขึ้น  รวมทั้งช่วยให้จดจำเนื้อหาได้มากขึ้น ทั้งนี้ หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญ  คือ  การดึงดูดความสนใจ ความชัดเจนและเสียงประกอบที่เหมาะสมด้วย

         เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงานนั้น  แต่เดิมมักใช้เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายแผ่นใสเป็นหลัก  แต่ในปัจจุบันนี้นิยมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพแอลซีดี  รูปแบบการนำเสนอที่ยังนิยมใช้กันมากคือ  การนำเสนอแบบ Slide Presentation โดยใช้โปรแกรม PowerPoint แต่มีแนวโน้มว่าการนำเสนอแบบ Web Page อาจเข้ามาแทนที่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น